.
เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอะไรกัน !? ไขข้อข้องใจกัน
.
หากเรารู้เรื่อง DLI คำถามเหล่านี้สามารถตอบได้อย่างโปร!!
.
อย่างแรก มาเข้าใจกันก่อนว่า DLI คืออะไร ทำไมมีผลเยอะเยี่ยงนี้
.
DLI – Day Light Integral คือปริมาณแสงรวมที่พืชได้รับต่อวันนั้นมีผลอย่างใหญ่หลวงต่อพืช หากให้อย่างไม่ระวังหรือให้อย่างไม่เหมาะสม พืชจะให้ผลผลิตที่ไม่ดี ซึ่งเรื่อง DLI นั้นสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิดบนโลกที่เราเห็น
.
มาดูกันว่า หากเราให้แสงในปริมาณที่เหมาะสม จะเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้บ้าง
จะเห็นได้ว่าเรื่อง DLI นั้นมีผลโดยองค์รวม ไม่ใช่แค่เฉพาะการบำรุงใบ
.
การให้แสงที่เหมาะสมคือความสำคัญอันดับ 1 สำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการปลูก
.
DLI คือปริมาณโฟตอนของแสงรวมที่พืชได้รับใน 1 วัน โดยการเอาปริมาณโฟตอนที่พืชได้รับในทุกๆวินาที (ก็คือค่า PPFD นั่นเอง (กรณีที่ใช้ไฟปลูก Indoor)) มาบวกกันตามชั่วโมงแสงที่ให้ หรือ ตั้งมิเตอร์วัดแสงไว้ 1 วันแล้วมาคำนวณพื้นที่ใต้กราฟ (สำหรับสาย Outdoor)
.
ปริมาณ DLI ที่ให้แก่ต้นพืชจะมีความแปรผันไปตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโตของพืชนั้นๆ ซึ่งปรับได้ตามความเหมาะสมของสภาพความสมบูรณ์แข็งแรงของพืชหรือต้นไม้นั้นๆด้วย (ยัดเยียดให้ไม่ได้)
.
มาดูตัวอย่างการให้แสงกับพืชสมุนไพรสีเขียวยอดนิยมในช่วงนี้กัญ ว่าปริมาณแสงที่ต้นพืชนี้ต้องการปริมาณแค่ไหนในแต่ละช่วงเวลา?
สีเขียวเข้มคือ DLI สำหรับ High Intensity Grow โดยการใช้ CO2
สีเขียวอ่อนคือค่า DLI สำหรับการปลูกแบบธรรมดา Regular Grow
.
อ่ะ ทีนี้รู้แล้วว่า ค่า DLI ที่ต้องการคือเท่าไหร่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องปรับไฟส่องสว่างแค่ไหนถึงจะพอ
.
ขั้นแรกมาดูกันก่อนว่า การได้มาซึ่งค่า DLI คำนวณอย่างไร
DLI = ค่า PPFD x วินาทีใน1นาที x นาทีใน1ชั่วโมง x จำนวนชั่วโมง / 1,000,000 ; เพื่อแปลงค่า umol/m2/s เป็น moles/m2/day
DLI = (PPFD umol/m2/s x 60 min/hr x 60 sec/min x Photoperiod hr/day) / (1/1000000 umol/mol)
ตัวอย่างการคำนวณค่า DLI
หากไฟปลูกให้แสง PPFD = 600 umol/m2/s และเปิดไฟ 12ชั่วโมง
DLI = 600*3600*12/1000000 = 25.92 moles / m2 / day
.
ทีนี้หากมีค่า DLI ที่ต้องการแล้วจะหาว่า ต้องเปิดไฟสว่างแค่ไหน (PPFD เท่าไหร่) ก็แค่กลับสูตร
ตัวอย่างการคำนวณค่า PPFD จากค่า DLI ที่ต้องการ
เช่นหากต้องการ DLI = 40 โดยจะเปิดไฟ 12 ชั่วโมง
40 = PPFD * 3600*12/1000000 à PPFD = เท่าไหร่
40*1000000/ (3600*12) = PPFD = 925 umol/m2/s
ซึ่งหากไฟที่คุณมีมันให้แสงได้ไม่ถึง ก็แค่เพิ่มชั่วโมงให้แสงทดแทน
เช่น หากต้องการ DLI = 40 ไฟปลูกที่มีให้แสงได้ 800 umol จะต้องให้แสงกี่ชั่วโมง
ก็ตั้งสมการตามนี้ 40 = 800 * 3600 * t /1000000
ย้ายข้างสมการเพื่อหา t ได้ดังนี้ 40 * 1000000 / (800 * 3600) = t = 13.8 ชั่วโมง
.
เห็นไหมว่าจริงๆเราไม่จำเป็นต้องยึดค่าชั่วโมงแสงตามที่ “เขาบอกว่า”
ถ้าเราเข้าใจดี ค่าแต่ละอย่างไม่มีค่าตายตัวสามารถปรับเล่นได้เต็มที่
.
ไอ้พวกตารางที่เราเคยเห็นกันด้านล่างนี้ จริงๆก็มาจากการคำนวณ DLI ทั้งนั้นแหละ
Growth Phase |
PAR Level (PPFD) |
Seedling / Clone |
100 – 300 |
Vegetative |
250 – 600 |
Bloom / Flowering |
500 – 1050 |
Growth Phase |
Photoperiod (h) |
Seedling / Clone |
16 – 24 |
Vegetative |
16 – 24 |
Bloom / Flowering |
10 – 13 |
Maturing |
10 – 14 |
จากกราฟ เราจะเห็นได้ว่า การให้แสงที่มากเกิน 1,000 umol/m2/s นั้นจะทำให้ Photosynthesis ต่ำลง หรือเกิดเป็นผลเสียได้ เช่น อาการ light burn ที่พบเจอกันนั่นเอง
.
อีกส่วนนึงก็คือการคุณภาพผลผลิต ซึ่งก็คือต้นทุนต่อน้ำหนักต่อสาระสำคัญที่ได้นั้นสอดรับกันหรือไม่
การประกอบกิจการหรืออุตสาหกรรมจึงควรมองจุดนี้เป็นสำคัญเพื่อให้เกิดกำไรสูงที่สุดนั่นเอง
.
การให้แสงมากอาจจะได้ดอกใหญ่จริง เนื้อดอกเพิ่มขึ้น แต่สารสำคัญไม่ได้เพิ่มตามมากเท่าอัตราต้นทุนที่เสียเพิ่ม ซึ่งหากเทียบปริมาณสารสำคัญต่อน้ำหนักต่อต้นทุน จะเห็นได้ว่าอาจได้ไม่คุ้มเสีย
จุดนี้จึงควรมีการประเมินเพื่อหาจุด Optimum อย่างสม่ำเสมอ
ในสเกลขนาดเล็กอาจไม่เห็นผลมาก แต่ในขนาดสเกลการปลูกที่ใหญ่ขึ้น บอกได้เลยว่าในยุคค่าไฟฟ้าแพงขนาดนี้ และราคาผลผลิตไม่สูงเช่นสมัยก่อน การจะมีกำไรในการประกอบกิจการนั้น จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ต้องประเมินควบคู่ไปด้วย
.
ส่วนหากใครปลูกแบบ Outdoor ก็สามารถคำนวณได้ง่ายๆโดยการเข้าสูตร Calculus คำนวณค่า DLI โดยวิธีหาพื้นที่ใต้กราฟก็ใช้ได้แล้ว การคำนวณทุกอย่างก็เช่นเดียวกับ LED
.
ซึ่งแต่ละพื้นที่และแต่ละช่วงเวลาของปีนั้นก็จะมีค่า DLI ที่แตกต่างกันพอสมควร การปลูก Outdoor จึงอาจต้องมีการประเมินพื้นที่ก่อนทำการปลูก
.
จากข้อมูลที่เราเห็นด้านบนทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการจะใช้แสงแรงๆแล้วละก็ เราก็จะต้องมีการเสริมด้วย CO2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
.
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ถ้าเรามีเครื่องยนต์วิ่งรอบธรรมดาอยู่ หากอยากให้เครื่องวิ่งเร็วขึ้น ก็จะต้องเพิ่มความเร็วรอบ
ซึ่งการเพิ่มความเร็วรอบก็ทำให้เครื่องร้อนขึ้นอาจถึงขั้นเสียหายได้ จึงจะต้องเพิ่มระบบทำความเย็นควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
เช่นเดียวกับการให้แสงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Photosynthesis หรือการปรุงอาหารของพืช
เหมือนเราจะผัดกับข้าว แล้วสักแต่จะเปิดไฟแรงๆแต่ในกระทะไม่มีอาหาร กระทะก็ไหม้
CO2 คือปัจจัยในการปรุงอาหารของพืช หากเราต้องการเร่ง ก็จำเป็นต้องเติม CO2 ควบคู่ไปด้วย
หากทว่าถึงจุดๆหนึ่งกระทะก็มีลิมิต มันใส่ได้แค่นี้ เติมเยอะกว่านี้ก็ล้นได้เหมือนกัน
.
การปลูกพืชนั้น การให้แสงถือเป็นอันดับ 1 เพราะแสงคืออาหารโดยตรงของต้นไม้
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มากกว่าแค่ค่าความสว่าง คือ ค่าสีของแสง หรือ Light Spectrum นั่นเอง
ซึ่งไฟจีนโดยทั่วไปมักให้สีที่เพี้ยน หรือตรงในวันแรกๆแล้วสามเดือนเพี้ยน
ความเข้าใจที่เรามีจะก่อให้เกิดการต่อยอดในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อกำไรในการดำเนินการ
.
ทีนี้เราลองรีแค็ปจากตอนต้นนะว่าคำถามเหล่านี้ตอบได้หรือยัง
.
รายละเอียดเชิงลึกยังมีอีกเยอะ เช่น การรับแสงของตระกูลออโต้ และโฟโต้ สีของแสงที่มีผลต่อพืช และการบูสผลผลิตต่างๆ บทความหน้า !!
หากใครสนใจอยากข้อมูลเชิงลึก หรือมีข้อสงสัยใด สามารถติดต่อเรามาได้ตลอด
หรือ หากสนใจฝึกอบรมหรือส่งบุคคลากรมาอบรมหรือใครสนใจอยากเปลี่ยนอาชีพเป็น Professional Grower ทักเลยค่ะ
ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามกันด้วยนะค้า 😊
Line ID: @growshop
Tel: 08-2728-2228