
ทำไมต้องมีเต้นท์
1. ควมคุมแสงและกลิ่นเล็ดลอด – คุณคงไม่อยากให้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเคาะประตูเนื่องจากแสงและกลิ่นที่เล็ดลอดออกไป
2. ควบคุมสภาพอากาศได้ 100% – อุณหภูมิ ความชื้น เป็นสิ่งสำคัญในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต ซึ่งการถ่ายเทอากาศและการกักความเย็นสำหรับพืชบางชนิดซึ่งส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพผลผลิตเป็นอย่างสูง
3. จะปลูกเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่ง้อฤดูกาล – เราสามารถหลอกพืชที่ปลูกได้ด้วยชั่วโมงการให้แสง ซึ่งทำให้เราปลูกพืชได้ทั้งปีโดยเลียนแบบชั่วโมงแสงของแต่ละฤดูกาล (จะรอรอบปีหนึ่งปลูกได้ครั้งหนึ่ง หรือ จะหลอกด้วยแสงแล้วเก็บผลผลิตได้ 2 เดือนครั้ง?)
4. การควบคุมโรคและศัตรูพืช – ระบบปิดช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เชื้อรา และศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี
การเลือกเต้นท์ปลูกที่เหมาะสม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มผลผลิตให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการเลือกขนาดที่เหมาะสม ยังช่วยให้ประหยัดค่าอุปกรณ์ได้อีกมากด้วย
สำหรับคนที่ต้องการปลูกพืชในบ้านแต่ไม่ได้มีพื้นที่มากนัก การใช้เต้นท์ปลูกถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อจำกัดพื้นที่ใช้งานและเพื่อการควบคุมสภาพบรรยากาศเช่นแสงสว่าง ชั่วโมงการให้แสง อุณหภูมิและความชื้นได้เป็นอย่างดี หรือประหยัดหลังงานสำหรับการติดแอร์ขนาดเล็กเพียงพอสำหรับพื้นที่เต้นท์ 
ด้วยโครงสร้างเหล็กน้ำหนักเบาและหุ้มด้วยผ้าใบหนา ทำให้การติดตั้งง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือก – ลองมาดูกันว่าปัจจัยส่วนไหนที่มีผล เช่น ขนาด วัสดุ และรูปแบบ
อีกอย่างที่ต้องพิจารณาเลยคือวัดพื้นที่ที่คุณมี (กว้าง*ยาว*สูง) ก่อนจะเลือกเต้นท์ บางคนถามขนาดเต้นท์ตามความอยากโดยไม่ทราบพื้นที่หน้างานจริง ต้องบอกเลยว่าเสียเวลาจ้า ควรต้องทราบขนาดพื้นท่ก่อนนะจ๊ะ ซึ่งเต้นท์ควรจะมีขนาดเล็กกว่าพื้นที่ที่มีเล็กน้อยเพื่อให้มีพื้นที่การเข้าถึงได้สะดวก อย่าลืมว่านอกจากพื้นที่การปลูกแล้ว ยังต้องมีพื้นที่การวางถังน้ำ เต้นท์อนุบาล อุปกรณ์ที่ต้องใช้งาน พื้นที่ตากแห้ง ฯลฯ
2. วัสดุ – วัสดุและสเปคของเนื้อผ้าที่นำมาทำเต้นท์นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร? จำนวนด้ายต่อพื้นที่ยิ่งมาก เนื้อยิ่งแข็งแรงทนทาน ยากต่อการฉีกขาด เนื้อเต้นท์ส่วนใหญ่กันแสงเข้าได้ทั้งนั้น แต่ผ้ายิ่งหนายิ่งทนต่อการใช้งานและกันความร้อนรั่วซึมรวมถึงเสียงภายในเต้นท์ด้วย โดยเนื้อผ้าจะมีให้เลือก 3 ระดับ 210D, 600D, 1680D (D หมายถึงหน่วยวัด Denier ซึ่งวัดเนื้อความหนาแน่นของเส้นใยในแนวระนาบ) ซึ่ง 1680D คือหนาที่สุดแล้ว
สิ่งที่มีภายในอีกส่วนที่สำคัญคือแผ่นสะท้อนที่อยู่ภายในเต้นท์ทั้งหมด ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดประสงค์คือการกระจายแสงและเก็บแสงให้เข้าได้ทั่วถึงทุกมุม
อีกส่วนหนึ่งคือความแข็งแรงของโครงสร้างเนื่องจากตัวโครงต้องรับน้ำหนักไฟและอุปกรณ์ต่างๆซึ่งการรับน้ำหนักนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดของโครง โดยมาก ถ้าเล็กกว่า 16มม. จะไม่สามารถใช้งานได้ดี
. 3. รูปแบบ – เต้นท์ปลูกมี 2 รูปแบบหลักในการวางสัดส่วนแยกประเภท ไม่ว่าจะเป็นห้องออกดอกผล ห้อง Veg หรือ ห้อง Propagation โดยทั่วไปจะมีแบบ 1 Chamber กับ 3 Chambers (Flower/ Veg/ Propagation) แบบ 3 Chamber นั้นจะจบครบในที่เดียว แต่ก็มีข้อจำกัดและการเข้าถึงในการทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร ถ้าแนะนำ แบบ 1 Chamber ทำงานด้วยง่ายกว่ามาก

เต้นท์ปลูกที่ดีควรมีช่องทางออกสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้ในหลายๆมุม และทางออกควรเป็นแบบซ้อนสองชั้นเพื่อกันแสงเล็ดลอดได้มั่นใจ 100% โดยปรกติ ช่องเหล่านี้จะมีไว้เพื่อสอดท่ออากาศเพื่อดูดลมเข้าหรือระบายลมออก และต้องมีช่องร้อยสายไฟด้วย

ร่องซิปควรมีตัวรองหลังเพื่อกันแสงด้วย
สรุปย่อๆตามนี้นะคะ
1. หากปลูกพืชในบ้าน เต้นท์เป็นสิ่งจำเป็น
2. เลือกขนาดเต้นท์ให้เหมาะต่อความต้องการ อย่าลืมเผื่อพื้นที่ต้องใช้งานอื่นๆด้วย
3. ขนาดเท่าไหร่ ต้องใช้คำว่าเหมาะสมถึงจะดีที่สุด มาตรฐาน เป็นจำนวนคูณ 60 ซม. เป็นส่วนมาก เช่น 60*120, 120*120, 240*120 เป็นต้น ขนาด 150*150 มือเอื้อมถึงได้ยากดูแลไม่ทั่วถึง
4. เนื้อเต้นท์ทำจากผ้า Mylar ความหนา 600D ขึ้นไป
5. ต้องมีแผ่นสะท้อนแสงภายในและกันแสงเข้าทุกทาง เช่น รูท่อนำอากาศ ร่องซิป เป็นต้น
6. รูปแบบเต้นท์ แบบ 3 ช่องปลูก ดูดี จบครบ แต่ใช้งานจริงไม่ค่อยสะดวก 1 ช่องปลูก แยกหลายเต้นท์ ทำงานง่ายกว่า จัดห้องง่ายกว่ายืดหยุ่นในการจัดวาง
รายละเอียดอื่นๆ ไว้มาต่อกันในโพสต์ต่อไปนะคะ ส่วนใครสนใจเรื่องเต้นท์ปลูกก็ติดต่อมาได้ที่ FB Page : Grow Shop Thailand หรือ กดคลิ้ก สินค้าทั้งหมด เพื่อเข้าดูอุปกรณ์ต่างๆได้นะคะ
อ่านต่อ
คลิ้ก ปลูกเต้นท์ใหญ่เต้นท์เดียวดีจริงหรือ?
คลิ้ก เต้นท์นึงวางได้กี่ต้น?
Grow Shop (Thailand) อุปกรณ์ปลูกต้นไม้ในบ้าน Home Grow Indoor ฺBio Farming
