ปลูกกรีนเฮ้าส์ ได้ดอกดีที่สุด จริงหรือ!?
ข้อแตกต่างระหว่างผลผลิต Outdoor VS Greenhouse VS Indoor
การปลูกพืชกัญชา-กัญชงนั้น สามารถทำได้ทั้ง ระบบปิด กรีนเฮ้าส์ และ ปลูกกลางแจ้ง ซึ่งโดยปรกติมักมีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอในเรื่องของคุณภาพว่าระบบแบบไหนดีกว่ากัน Ed Rosenthal เซียนปลูกรุ่นเก๋า ได้กล่าวไว้ว่า “Which is better really depends on what aspect you look at. It really depends on your situation.” ซึ่งจริงๆ แล้วต้องดูว่าเป็นการตั้งคำถามเพื่อนำผลผลิตไปใช้ประโยชน์อะไร หรือ จะนำส่วนใดเพื่อไปใช้ประโยชน์ เช่น ใช้เพื่อสารสกัด ใช้ในส่วนของใบและลำต้น หรือใช้เพื่อการอุตสาหกรรม หรือเพื่อใช้ในครัวเรือน ตลอดไปจนถึงการปลูก ณ ภูมิประเทศแบบไหน ประเทศอะไร อาทิ พื้นที่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 20°C ทั้งปี ความชื้นเฉลี่ย 50%RH สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 ฟุต หรือ พื้นที่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 30°C ตลอดทั้งปี ความชื้นเฉลี่ย 75%RH โดยแทบไม่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเลย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นตัวบ่งบอกว่าการปลูกแบบไหน “เหมาะสม” กับรูปแบบการนำไปใช้มากกว่ากัน
กรรมวิธีการปลูก: ระบบปิด กรีนเฮ้าส์ และเปิดกลางแจ้ง
ระบบปิด Indoor Cultivition – ช่วยให้ผู้ปลูกสามารถควบคุมปัจจัยกระบวนการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างเสถียร เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ค่าแสง ระยะเวลาการให้แสง การหมุนเวียนของอากาศ กระทั่งถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ซึ่งถ้าควบคุมให้สะอาด ผลลัพธ์ย่อมมีคุณภาพดีและเสถียรเหมาะแก่การทำธุรกิจเชิงอุตสาหกรรม แต่หากทำแบบตามมีตามเกิดปราศจากการควบคุมที่ดี ย่อมเป็นที่หมักหมม และ เอาของเสียออกยากเนื่องจากจะมีการสะสมเล็กๆ อยู่ในระบบเสมอ
หากพูดถึงการลงทุนก็คงเป็นระบบที่มีการลงทุนสูงที่สุด แต่ก็ได้มาซึ่งการควบคุมคุณภาพ และ การทำรอบการปลูกได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องอิงฤดูกาล เท่ากับว่าผู้ปลูกสามารถควบคุมปริมาณผลผลิตที่จะได้รับในแต่ละรอบการปลูกที่มากขึ้น รวมไปถึงรายได้ที่จะได้รับมากขึ้นตามไปด้วย นั่นหมายความว่าผู้ปลูกสามารถควบคุมงบประมาณการลงทุนตลอดไปจนถึงจุดคุ้มทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ นี่ยังไม่รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตสินค้าที่ต้องการวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยาที่คำนึงถึงปริมาณสารสำคัญที่สูง ปราศจากสารปนเปื้อนหรือสารที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ ซึ่งการปลูกระบบอื่นๆ ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้มากเท่าการปลูกระบบปิด และโดยทั่วไปแล้วการปลูกในระบบปิดก็มักให้เปอร์เซ็นต์สารสำคัญมากกว่าเมื่อเทียบกับกรรมวิธีการปลูกแบบอื่นๆ
กรีนเฮ้าส์ Green House – เป็นการปลูกที่มีความนิยมเช่นกัน แต่การปลูกแบบกรีนเฮ้าส์นั้นก็มีรายละเอียดการลงทุนที่แตกต่างกันพอสมควรอาทิ “การปลูกโรงเรือน ก. ก็เรียกกรีนเฮ้าส์ การปลูกโรง Evap (Evaporator-ระบบทำความเย็นที่ใช้ความชื้นลดอุณหภูมิ) ก็เรียกกรีนเฮ้าส์ โรงเรือน Iso Wall หลังคาใสแบบปิดม่านทึบแสง (Light Dep) ก็เรียกกรีนเฮ้าส์” ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ เพื่อใช้แสงจากพระอาทิตย์ส่องสว่างให้กับพืช แน่นอนว่าถ้าสำหรับเมืองแล้งแดดออกจัดและแทบไม่มีเมฆ คงสามารถให้ผลที่เสถียร แต่ทว่าสำหรับเมืองที่อยู่ในเขต “ร้อนชื้นฝนตกชุก” ก็จะไม่สามารถควบคุมปริมาณแสงได้สม่ำเสมอ ค่าสารสำคัญภายในก็คงจะสวิงเป็นเรื่องปรกติ โดยตามตรรกะแล้วในเมื่อไม่ได้แสง 100% ตลอดการปลูก นั่นก็หมายความว่าปริมาณสารสำคัญก็คงน้อยกว่าโรงปลูกแบบปิดที่ให้แสงโดยไม่ขาดแน่นอน ส่วนการการรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมกับพืชมักนำระบบแบบใช้ความชื้นเพื่อลดอุณหภูมิเป็นส่วนใหญ่ หากใช้ในภูมิภาคที่แห้งแล้งความชื้นต่ำ การได้รับความชื้นก็อาจเป็นการเหมาะสม แต่หากเป็นการปลูกในที่ที่มีความชื้นอยู่แล้ว ความเสี่ยงในการติดเชื้อรามีสูงมาก อีกทั้งการควบคุมแมลง หรือ ศัตรูพืชรวมถึงการเจือปนสิ่งต่างๆ ก็สามารถปะปนเข้ามาได้ง่ายเนื่องจากโรงเรือนเป็นระบบกึ่งเปิด เลี่ยงการเกิด เชื้อรา สปอร์ต่างๆ Cross contamination แมลงรบกวนได้ยาก และ สุดท้ายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องแมลง ศัตรูพืช ฯลฯ ก็ไม่พ้นต้องใช้สารเคมีเข้ามาควบคุมร่วมด้วย
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ การใช้พลังงานและทรัพยากร และการลงทุนจะน้อยกว่ารูปแบบโรงปลูกแบบปิด (Indoor Cultivation) ทว่าสำหรับประเทศไทยระบบกรีนเฮ้าส์จะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อใช้กับการปลูกพืชที่ต้องการ“ความชื้นสูงเท่านั้น” และจะให้ได้ผลดีต้องมีระบบการจัดการศัตรูพืชและสิ่งแปลกปลอมที่สามารถปะปนเข้าโรงเรือนควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ ผลผลิตที่ได้จากโรงเรือนประเภทนี้อาจไม่สามารถที่จะควบคุมสารสำคัญให้เป็นไปอย่างมาตราฐานสม่ำเสมอเท่ากันทุกรอบการปลูก และเนื่องจากเป็นการปลูกระบบ “กึ่งเปิด” สำหรับการปลูกเพื่อนำไปใช้ในรูปแบบ “สารสกัด” มีความเสี่ยงที่อาจจะมีสารไม่พึงประสงค์อื่นๆเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนดได้
ระบบปลูกกลางแจ้งOutdoor Cultivation–การปลูกประเภทนี้คือการปลูกแบบพึ่งพาธรรมชาติแบบเต็มรูปแบบซึ่งหากเป็นการปลูกบนพื้นที่ที่เป็นLandraceของพืชพันธุ์นั้นๆ ก็จะทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดและก็จะทำให้พืชสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้มากที่สุด ทั้งนี้สภาพภูมิอากาศและน้ำในแต่ละปีก็จะมีผลกระทบต่อผลผลิตโดยตรง ซึ่งหากต้องการความเสถียรและการควบคุมปริมารสารสำคัญเพื่อนำผลผลิตมาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมอาจทำได้ยากยิ่งขึ้นเพราะปริมารสารสำคัญที่อาจจะได้รับไม่คงที่หรือต่ำกว่าที่คาดการณ์เป็นผลให้ต้องใช้วัตถุดิบที่มากขึ้นแต่ได้ปริมาณสารสำคัญที่ลดลง และยังไม่อาจควบคุมศัตรูพืชหรือการปนเปื้อนอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งในหลายธุรกิจค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งซึ่งหากจะทำแนวทางนี้เพื่ออุตสาหกรรมก็ต้องบอกว่าต้องใช้คู่กับระบบ‘ภาวนา’คงไม่เกินเลยแต่ในทางกลับกันหากการนำวัตถุดิบจากการปลูกด้วยระบบกลางแจ้งไปใช้ในเรื่องของเส้นใยเมล็ดหรือส่วนอื่นๆยกเว้นช่อดอกก็ต้องบอกว่าเป็นระบบที่คุ้มกับต้นทุนอย่างยิ่ง
บทสรุปของระบบการปลูกที่เราควรเลือกซื้อหรือเลือกปลูกจะเป็นแบบไหนกัน ในท้ายที่สุดก็ต้องดูที่ว่าในปลายทางแล้ว เราจะนำผลผลิตไปใช้สำหรับอะไร หากการนำไปใช้เชิงอุตสาหกรรม ความเสถียรและความต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนการผลิต หากนำไปเพื่อใช้เชิงครัวเรือนก็ไม่ต้องกังวลมากนัก ส่วนถ้าจะนำไปทำเส้นใย การลงทุนปลูกในระบบปิดหรือกรีนเฮ้าส์ที่ลงทุนสูงคงไม่คุ้มต้นทุน
ฉะนั้นคำว่าระบบแบบไหนให้ผลผลิตที่ดีที่สุด ทุกท่านก็คงจะต้องวิเคราะห์ตามรายละเอียดปัจจัยด้านบนที่ได้นำเสนอไปแล้ว ส่วนใครอยากลองแบบไหนมีงบประมาณก็ลุยโลด แต่ต้องคิดถึงเสมอว่าปลายทางจะนำไปใช้ทำอะไรสารสกัด เส้นใย ใต้ดิน หรืออุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอางค์? หากคุณภาพไม่ตรงกับที่ปลายทางต้องการหรือไม่มีคนรับซื้อก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะทำ ถ้าตามกระแสก็ได้เงินวูบวาบ แต่ถ้าอยากรวย ต้องยืนอยู่ให้ได้นานๆอย่างมั่นคงและมีมาตรฐาน
การเกษตรไทยไม่เคยเดินหน้า เพราะเราไม่เคยดูว่าปลายทางมีความต้องการอย่างไรแล้วสักแต่จะปลูก ถ้าอยากให้พัฒนาก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนทั้งกระบวนการคิดตั้งแต่ต้นจนถึงกรรมวิธีในการดำเนินการ วิเคราะห์ตาม Facts ผลลัพธ์ถึงจะเปลี่ยน อยากได้ผลเลิศแต่ทำมักง่ายแบบเดิมคงไม่ทันกินต่างชาติ “อยากทำเหมืองทอง ต้องศึกษาและลงทุน อยากใช้แค่กระชอนร่อนก็ทำได้ แต่ก็ไม่มีวันโต”
Ed Rosenthal เซียนปลูกรุ่นเก๋า เคยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “Don’t just grow cannabis, grow cannabis for a specific reason (อย่าคิดว่าแค่จะปลูก ต้องดูด้วยว่าปลูกเพื่อวัตถุประสงค์อะไร)”
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง 55555 เพ้อแระ