อยากรวยเชิญทางนี้ แจกสูตรทำไม้ใบด่าง ตอนที่ 1 – การแยกประเภทและที่มาของไม้ใบด่าง
คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีไหม เรื่องไม้ใบด่าง ช่วงก่อนนี้ร้อนแรงกันมาก เห็นคนกำลังฮิต และทำกำไรกันอยู่ กลัวว่าเขียนไปแล้วจะโดนยำตรีน😅
เอาว่าบทความนี้ให้ข้อมูลพื้นฐานก่อน ว่าด้วยประเภท ซึ่งถ้ามีคนสนใจมากก็จะเปิดสูตรลับอายุเกือบ 50 ปีสำหรับการทดลองทำไม้ใบด่างด้วยเคมี โดยการจะทำให้เกิดความด่างที่เสถียรนั้นใช้เวลาค่อนข้างมาก ตั้งแต่ 10-50 วัน
แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราควรจะต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานก่อน เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อยอด
ไม้ใบด่าง หรือ ภาษาอังกฤษคือ Variegated Plants มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน Variegatus แปลว่าประกอบขึ้นด้วยสีต่างๆ โดยชื่อต้นทางวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งแยกได้ เช่น
variegata ต่อท้ายชื่อหมายความว่าเป็นไม้ด่างป่า และหากมีคำว่า cultivars จะเป็นพวกไม้บ้าน โอเค กลับเข้าเรื่อง ต้นไม้ทั่วไปจะเกิดสี (pigment) อะไรได้นั้นก็จำเป็นจะต้องมีเม็ดสีนั้นๆ ซึ่งเม็ดสีหลักๆจะมีอยู่ 3 สี
Chlorophyll – เป็นเม็ดสีสีเขียว ซึ่งในไม้ใบด่างนั้นจะมีส่วนที่ไม่มีคลอโรฟิลล์และเม็ดสีถูกจะถูกแทนที่ด้วยอีก 2 ชนิด คือ
Cartenoids – เป็นเม็ดสีสีส้ม และ
Xanthophylls – เป็นเม็ดสีสีเหลือง
โดยไม้ใบจะด่างได้บนสาเหตุที่สามารถแยกประเภทได้หลักๆ 4 ประเภทดังนี้
1. Genetic Variegation หรือ ด่างโดยธรรมชาติ ความด่างประเภทนี้จะเป็นแบบถาวรตามธรรมชาติเลย เพราะเกิดจากยีนส์ภายในดีเอ็นเอและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น โดยความด่างนี้มีประโยชน์ต่อต้นไม้นั้นๆด้วยวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อพรางตัวจากสภาพแวดล้อมให้ตัวเองนั้นอยู่รอดได้ ใช้ซ่อนตัวหรือหลอกศัตรูพืช ตัวอย่างเช่น เพื่อป้องกันแมงมุมวางไข่ ก็จะด่างแบบลวงว่าใบฉันมีลายเหมือนมีแมงมุมตัวอื่นมาวางไข่ไว้แล้วนะ หรือ ทำเหมือนป่วยเพื่อให้สัตว์ไม่กินและไปกินต้นอื่นที่ดูเหมือนสมบูรณ์แข็งแรงกว่า

พืชกลุ่ม Marantaceae ประเภท Calathea และ Ctenanthe แสดงความด่างแบบ Genetic Variegation
2. Chimeric Variegation – ความด่างชนิดไคเมริก หรือเรียกว่าพืชชนิด chimera ซึ่งเป็นความด่างที่พบได้ทั่วไปเป็นส่วนมาก ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ เป็นความผิดปกติของโครโมโซม โดยในต้นไม้นั้นจะมีเซลล์ 2 รูปแบบเกิดขึ้น ซึ่งแบบหนึ่งจะสามารถผลิตคลอโรฟิลล์ และอีกแบบหนึ่งไม่สามารถผลิตได้ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะแย่งพื้นที่กัน คล้ายกับคนเป็นมะเร็ง ในบางกรณีใบสามารถเป็นสีเกือบขาวหมดทั้งใบ แต่รูปแบบความด่างขนิดไคเมริกนั้นจะไม่มีความเสถียร สามารถกลับคืนสู่รูปแบบเดิมได้ (สีเขียว) เพราะพืชก็ฉลาด เนื่องจากพื้นที่ที่ไม่มีเม็ดสีเขียวหรือไม่มีคลอโรฟิลล์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ และส่วนที่มีคลอโรฟิลล์นั้นสร้างอาหารได้ เมื่อพืชตรวจจับได้ว่า โอ้ว การมีเซลล์สีเขียวจะทำให้มีอาหาร พืชก็จะเร่งสร้างคลอโรฟิลล์ขึ้นมาทดแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนการพยายามฆ่าเซลล์มะเร็ง

Monstera deliciosa ‘Thai Constellation’ cultivar
ซึ่งไม้ใบด่างประเภทนี้ จะพบได้บ่อย เช่น Monstera deliciosa ซึ่งจะหาที่กลายพันธุ์นั้นยาก ทำให้มีราคาสูง แต่ก็มีความไม่เสถียรในความด่าง บางต้นเสถียร บางต้นไม่เสถียรและสามารถกลับเป็นใบเขียวได้ทั้งต้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดความด่าง

3. Blister Variegation หรือ Reflective Variegation – เป็นความด่างที่ไม่ได้เกิดจากการกลายพันธุ์แต่อย่างใด แต่เกิดจากการมีชั้นอากาศเล็กๆแทรกอยู่เหนือผิวที่มีเม็ดสี เมื่อแสงตกกระทบกระเปาะอากาศใสๆเหล่านั้นจึงมีการสะท้อนแบบเหลือบๆทำให้ดูเป็นสีเงินสะท้อนแสง โดยส่วนมากเกิดที่เนื้อใบ หรือในบางกรณีสามารถเกิดบริเวณเส้นใบได้ด้วย
ส่วนใหญ่จะมีราคาหากเกิด Blister Variegation ตลอดแนวเส้นใบ ซึ่งพบได้ในพืชตระกูลอะรอยด์ Anthuriums, Alocasias และ Philodendrons เช่น Anthurium clarinervium, Alocasia frydek และ Philodendron gloriosum เป็นต้น

Scindapsus pictus ที่มีความด่างในรูปแบบ blister variegation
4. Viral Variegation – ความด่างบางประเภทอาจเกิดขึ้นได้จากไวรัส เช่น ไวรัส Mosaic ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก แต่บางที่ก็ให้ผลเป็นที่ถูกใจนักและสามารถสืบพัน์ขยายพันธุ์ได้อีกด้วย โดยส่วนมากมักไม่ค่อยเจอในการปลูกในบ้าน ต้นที่สามารถพบเจอได้บ่อยหน่อยก็จะเป็นต้น Hosta cultivars
