ในวันที่สับสน ด้วยการเลือกตั้งที่ผ่านมา เชื่อว่า ประเด็นเรื่องกัญชากัญชงกลับเป็นยาเสพติด เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักหรือปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือลังเลเลือกพรรคที่ชอบ เลือกคนที่ใช่ แต่ผลจ่ากการเลือกตั้งทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวลที่กัญชากัญชงคงต้องกลับเป็นยาเสพติดตามนโยบายพรรคที่มีแนวโน้มได้จัดตั้งรัฐบาลได้หาเสียงไว้
.
วันนี้เราลองมาดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกัน ว่าตอนนี้ที่เปิดเสรีกัญชากัญชงแต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเกิดอะไรขึ้น การที่นำกัญชากัญชงกลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด จะทำให้เกิดอะไรต่อไปควรกังวลไหม และสิ่งที่ประชาชนควรมองหาคืออะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์
*(ขอออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง แค่ต้องการอธิบายข้อเท็จจริงให้หลายฝ่ายเข้าใจมากขึ้น และลดความวิตกกังวล)*
.
สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านยาวๆ ก็ขอสปอยสั้นๆให้สบายใจก่อนว่า การที่กัญชากัญชงจะกลับเป็นยาเสพติดไม่ได้เดือดร้อน และไม่ต้องวิตกหรือน่ากลัวอย่างที่คิด
.
ตามนโยบายพรรคการเมืองทุกพรรคที่เกี่ยวข้องกับกัญชากัญชงนั้น เราเชื่อว่าทุกพรรคและทุกคนมีเข็มมุ่งเดียวกันคือประโยชน์ของคนส่วนมากในเชิงการแพทย์ และไม่ต้องการให้เกิดเหตุในการนำไปใช้ในทางที่ผิด เสพสันทนาการหรือเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในภาพใหญ่ของประเทศ
.
ซึ่งผู้ที่เป็นรัฐบาลหากใครตอบโจทย์ทำสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหมู่มากและขับเคลื่อนให้เกิดวงจรอุตสาหกรรม ก็มีแนวโน้มได้ใจประชาชนไปเต็มๆ
.
นโยบายด้านกัญชากัญชง จึงกลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ทุกพรรคการเมืองต้องใช้ชูโรงเพื่อให้ได้คะแนนเสียง
.
.
อ่ะทีนี้เรามาดูกันว่าในแต่ละกรณีความเป็นไปได้ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและประชาชนเห็นแล้ว มีอะไรบ้าง กับการที่กัญชากัญชงจะเสรีหรือกลับเป็นยาเสพติด ทีละประเด็นดังนี้
.
การที่เปิดเสรีแต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเกิดอะไรขึ้น (ตามที่ตาเห็นได้)
1. การนำไปใช้หรือการจัดจำหน่ายเป็นสุญญากาศ ทำให้ใครทำอะไรก็ได้ ก่อเกิดเป็นข้อที่ 2
2. ร้านขายกัญชาเพื่อสันทนาการ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทุกซอกทุกมุมของประเทศ มากกว่าการจำหน่ายเพื่อสุขภาพหรือเชิงการแพทย์ (ซึ่งคนที่เปิดร้าน Dispensary ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมาย ค่าเช่าที่ใน Prime Location กินหมด)
3. เมื่อเปิดเสรี เท่ากับว่ากลายเป็นสินค้าทั่วไปเช่นเดียวกับผักเหรือกะเพรานั่นเอง ทำให้ราคาตกอย่าแรง ทำให้เกิดข้อที่ 4
4. ผู้ปลูกเพื่อทำราคาต่ำมีมากขึ้น ผู้ปลูกคุณภาพซึ่งมีต้นทุนสูงลดลง คนทำดีทำไม่ไหว คนทำจัญไรเติบโต
5. มีการลักลอบนำเข้าของตกเกรดจากต่างประเทศมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าที่ปลูกในไทย (ก็เมืองนอกเขาขายไม่ได้ราคา แต่พอมาไทยบอกเป็นของนอก ทำราคาได้ ทั้งต้นทุนต่ำ ทั้งกำไรสูง ราคาขายต่ำกว่าทุน มันช่างหอมหวานนัก แต่มันไม่ยั่งยืน)
6. ทุนสีเทาต่างชาติโยกย้ายมาลงทุนในธุรกิจนี้ อาศัยไทยเป็นฐานการส่งออกสิ่งผิดกฎหมาย และการฟอกเงิน
7. เกิดเหตุต่างๆมากมาย การเสพอย่างโจ๋งครึ่มในที่สาธารณ ทั้งอาชกรรม (โดยเฉพาะในผู้เยาว์ที่ประชาชนเป็นห่วง) มากมายที่พาดพิงว่ากัญชาเป็นต้นเหตุ (ทั้งจริงและไม่จริง)
8. การส่งออกตรงๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่อดอกหรือสารสกัด อย่างถูกกฎหมายเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ (ลองดูกฎหมาย หรือข้อกีดกันทางการค้าในการนำเข้าของแต่ละประเทศดีๆ ว่างๆจะเขียนต่อเหลาให้ฟังกันยาวๆ)
9. สินค้าส่งออกที่ไม่เกี่ยวข้องกับกัญชากัญชาถูกกระทบ เนื่องจากต้องถูกตรวจสอบเพิ่มเติมที่ประเทศปลายทางว่าสินค้านั้นๆไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชากัญชง เพราะทุนสีเทาที่ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ผลิตสินค้าผิดกฎหมายได้ทำการส่งออกไปทั่วโลก ทำให้ไทยถูกจับตาว่ากำลังเดินไปสู่การเป็นประเทศส่งออกยาเสพติด ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคระหว่างประเทศ
10. ส่วนผลิตผลิตถัณฑ์ปลายน้ำเองก็เกิดเดินอยู่บนข้อคัดง้างต่อกฎหมายด้านสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้การขึ้นทะเบียน เต็มไปด้วยการเลี่ยงบาลี ผลกระทบเกิดแก่ผู้บริโภค เช่น น้ำมันหยดใต้สิ้นต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา แต่จดทะเบียนเป็นเซรั่มทาผิว เป็นต้น
ซึ่งประเด็นข้างต้นที่กล่าวมาแก้ไขได้บ้างหากมีกฎหมายรองรับ แต่ที่ทำไม่ได้คือการนำเข้า เพราะเมื่อไม่ใช่ยาเสพติด เท่ากับว่าไม่สามารถกีดกันการนำเข้าได้เลย ต่างประเทศที่หมดทางไปเอาของตกเกรดมาย้อมแมวมาขายจะสามารถไหลทะลักเข้ามาได้ โดยที่ไทยไม่มีใครได้ประโยชน์เลย จะได้ก็เศษเงินหน้าร้านไม่กี่เปอร์เซ็นต์จากการขาย ส่วนเงินรายได้ส่วนใหญ่ก็ไหลออกสู่ทุนต่างชาตินอกประเทส การลงทุน การเติบโตเชิงพานิชย์ และการจ้างงานในประเทศก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
.
ทีนี้ลองมาดูว่าการที่นำกลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด จะทำให้เกิดอะไรต่อไป
1. บล็อกการนำเข้าได้เต็มที่ – ผู้ดำเนินการในประเทศสามารถเติบโตได้อย่างเต็มรูปแบบโดยไม่ถูกแซงชั่นจากการนำเข้าที่มีต้นทุนถูกกว่าขายราคาค่ำกว่าทุนแต่ไม่ยั่งยืน
2. สามารถออกกฎหมายควบคุมการใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างไรก็ได้ เช่น การตรวจสอบที่มาที่ไป ลดการลักลอบนำเข้า ส่งเสริมผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งนำไปสู่ข้อที่ 3
3. การออกกฎหมายต่างๆไม่จำเป็นต้องเลี่ยงบาลี ทำให้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำสามารถเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา ประชาชนรับประโยชน์เต็มๆ
4. ราคาผลผลิตไม่ตกต่ำ เพราะดูกันเรื่องคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคาต่ำเป็นหลัก
5. บังคับให้ผู้ที่ต้องการทำจริงอย่างถูกต้อง ดำเนินการได้อย่างสุจริต และผู้ทำผิดกฎหมายหรือสร้างผลเสีย สามารถถูกดำเนินการได้ตามกฎหมาย
6. รัฐสามารถช่วยพลักดันเอกชนได้อย่างเต็มที่ ตามนโยบายที่สอดคล้องต่อกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับ
7. ด้านผู้ปลูก - ก็ยังทำได้เหมือนเดิม แค่ลงทะเบียนให้ถูกต้อง (ส่วนใหญ่ก็ลงอยู่แล้ว)
8. ด้านผู้จำหน่าย – ก็ยังทำได้แค่ยื่นเอกสารขออนุญาตและมีที่มาที่ไปให้ถูกต้อง (ไม่ต่างจากตอนนี้ หากยื่นอยู่แล้ว)
9. ด้านผู้ใช้ – ก็ยังทำได้เหมือนเดิมก็แค่แจ้ง และมีเอกสารยืนยัน (ไม่ต่างจากตอนนี้)
สิ่งที่ประชาชนควรมองหาคืออะไร
1. ผู้นำในการดำเนินการจริงด้านกัญชากัญชง ทั้งการปลูก การแปรรูป และการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ที่มีประสบการณ์และมาตรฐานอย่างแท้จริง มาช่วยให้คำแนะนำในการดำเนินกราสู่เป้าหมายตามนโยบายรัฐ
2. ผลักดันให้ผลิตภัณฑ์จากกัญชากัญชงมีความเสถียรต่อประโยชน์ในการใช้งานด้านนั้นๆ
3. จำกัดและควบคุมสิ่งที่ทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์
4. ทำความเข้าใจด้านโครงสร้างราคา ช่วยกันส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ไม่แค่ใช้วัตถุดิบต้นทุนต่ำแต่ไร้คุณภาพ ไม่ยั่งยืนและไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทย
.
ส่วนประเด็นทางการเมืองที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวไว้ และกำลังเป็นประเด็นที่ถูกโจมตีดังนี้
23 กุมภาพันธ์ 2562 - ในการปราศรัย เขาได้กล่าวไว้ว่ากัญชาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของยาเสพติด ประเทศไทยต้องเป็น 1 ใน 5 ของผู้นำด้านกัญชา เรามีความจำเป็นที่จะต้องบริหารให้ถูกต้อง ปลายทางเราต้องเป็นผู้นำในเอเชีย ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก พาร์คินสัน โรคไต ผู้ป่วยที่เจ็บปวดจากโรคมะเร็ง จำเป็นต้องหาวิธีรักษาทางเลือกมากกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน เรื่องความเจ็บปวด เรื่องของชีวิต เรื่องของศีลธรรมมันสำคัญกว่ากฎหมาย และตัวเองก็ใช้น้ำมัน CBD เพื่อรักษาให้ตัวเองเหมือนกัน
เมื่อกล่าวถึงประเทศที่เรื่องกฎหมายเปิดอย่างควบคุม ก็ปราศรัยว่า 1 จอยท์เท่ากับ 1 ออนซ์ ผู้ใช้ต้องอายุมากกว่า 21 ปีขึ้นไป ห้ามขับรถ ห้ามสูบในที่สาธารณะ ต้องอยู่ในที่ที่เป็นพื้นที่จำกัดของตัวเอง สันทนาการอาจะเร็วเกินไป แต่ในระยะกลางควรมีระบบแซนด์บ็อกซ์เพื่อศึกษา ให้เมืองไทยเป็นเมดิคอลฮับ เป็น ทัวริซึ่มฮับ แล้วในบริบทไทย เหมาะสมหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น - ถ้าตามบริบทนี้ ก็เห็นได้แล้วว่าพรรคก้าวไกลเห็นในสิ่งนี้ล่วงหน้าแล้วว่ามีปัญหา และปัญหาควรแก้อย่างไร ที่ในวันนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง และต้องการการขับเคลื่อน
4 พฤษภาคม 2566 – ไม่เอากัญชาเสรี ไม่เอากัญชาเสรีสุดโต่ง ไม่เอากัญชาเสรีสุญญากาศ เอากัญชาให้กลับไปเป็นยาเสพติด แล้วควบคุมประโยชน์ให้มากกว่าโทษ - ในบริบทนี้ก็ไม่ได้ผิด เพราะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วว่า หากเป็นเสรีสุดโต่งจะนำมาซึ่งเหตุอันใดบ้าง
.
ซึ่งตอนนี้ทางคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กำลังถูกกล่าวหาว่าตอนนั้นพูดอย่าง ตอนนี้พูดอย่าง
.
หรือที่ท่านอนุทินทำไว้ก็ไม่ได้ผิด ที่ต้องแก้ไขและออกกฎหมายเพื่อควบคุมให้ได้เมื่อเห็นช่องโหว่ที่ควรป้องกัน
.
เอาว่าถ้าเรายกตัวอย่าง เมื่อสิบปีที่แล้วผมบอกว่าตัวเองอายุ 20 ปี ปัจจุบันผ่านมาสิบปี ผมอายุ 30 ปี ถ้าผมบอกว่าตัวเองอายุ 30 ปี เท่ากับผมเป็นคนพูดกลับกลอก เช่นนั้นหรือ? เช่นเดียวกัน ในบริบท ณ เวลานั้น สิ่งที่พูดถูกคืออะไร เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์เปลี่ยน บริบทเปลี่ยน ผู้ที่ต้องการแก้ไขสิ่งที่เห็นแล้วว่ามีบางประเด็นบกพร่องหรือเปลี่ยนไปจำเป็นต้องยึดความบกพร่องเดิมไหม?
.
ดังนั้นผู้ที่ทำดีอยู่แล้วสบายใจหายห่วงได้เลย เพราะคนที่จะนำมันกลับไปสู่ยาเสพติดรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และต้องทำอย่างไร บางทีการที่กัญชากัญชงกลับเป็นยาเสพติด อาจเป็นเรื่องดีกว่าการปล่อยเสรีเช่นปัจจุบันก็เป็นได้ ประชาชนเป็นผู้เป็นผู้ได้ประโยชน์ เป็นผู้ตัดสินและแค่ต้องช่วยกันผลักดันเพื่อให้สิ่งต่างๆที่ผู้แทนราษฎรหาเสียงไว้ เกิดขึ้นเป็นประโยชน์ในภาพรวม
.
#เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
#growshopthailand
ภาพประกอบจากกูเกิล