LED มีตั้งแต่ถูกถึงแพง จะเลือกยังไง?
ราคาไล่เรียงตั้งแต่หลักสตางค์จนถึงหลักร้อยต่อชิป
เมื่อดูจากราคาถูกหรือแพงมักมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง
ราคาถูกเพราะอะไร?
แพงเพราะอะไร?
ต่างกันอย่างไร?
ความเดิมตอนที่แล้ว “หลอกพืช!!” เราจะเห็นได้ว่า
แสงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปลูกพืชโดยใช้แสงทดแทนแสงอาทิตย์
"การเลือก LED ผิด ชีวิตเปลี่ยนทันที"
ต้นทุนเพิ่ม พืชไม่โต ค่าใช้จ่ายรายเดือนสูง ผลผลิตต่ำ
ระวัง!! เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย!!
จะเข้าใจได้ต้องเข้าใจปัจจัยเรื่องแสงก่อน
เรามาดูกันก่อนว่า LED (Light Emitting Diode) มีกี่ชนิด
LED นั้นมีหลายชนิด ส่วนที่ฮิตใช้กันมากที่สุดสำหรับไฟปลูกจะเป็นจำพวก SMD กับ COB
โดยเราต้องดูเรื่องปัจจัยของแสงเป็นหลัก
1. สเปคตรัมของแสงที่ใช้
ความเที่ยงตรงของย่านสีที่เปล่งจากตัวไดโอด
เนื่องจากพืชแต่ละชนิด แต่ละช่วงเวลา กินค่าสีที่แตกต่างกัน
การที่จะเลือกชิปที่จะนำมาใช้งาน แสงที่เปล่งออกมาจึงจำเป็นต้องมีความแม่นยำ
เช่น 660nm (สีแดง) and 450nm (ฟ้า)
เพื่อให้ตรงกับ Chlorophyll A และ Chlorophyll B เป็นต้น
จึงไม่ใช้แค่บอกแดง หรือ ฟ้า แต่ต้องระบุความยาวคลื่นที่แน่นอน
หากสเปคตรัมที่ใช้ไม่เที่ยง พืชจะสังเคราะห์ไม่ได้
ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของพืชก็ลดลงอย่างฮวบฮา
2. ความสว่างและความเข้มข้น
ใครเทียบเรื่องแสงด้วยหน่วยวัตต์ (Watt) แสดงว่าไม่รู้เรื่องจริง
ในเมื่อแสงที่ใช้ในการปลูกมีสเปคตรัมตั้งแต่อัลตร้าไวโอเลตถึงอินฟราเรด
ความสว่างของไฟปลูกจึงไม่สามารถวัดความสว่างได้
เนื่องจากย่านสีที่พืชรับได้ ไม่ใช่ว่าตาจะมองเห็นเท่านั้น
ฉะนั้นหน่วยวัด lumens, LUX จึงถูกตัดออกไปเนื่องจากเป็นหน่วยวัดสำหรับแสงที่ตามนุษย์มองเห็นเท่านั้น
โดยความสว่างของไฟปลูกจะคุยกันในเรื่อง Photosynthetically Active Radiation (PAR)
ซึ่งก็คือความยาวคลื่นของแสงที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง
(ไม่ใช่หน่วยวัด หลายคนมักเข้าใจผิด)
สิ่งที่สำคัญคือคุณภาพของ Spectral Light
ซึ่งเราจะคุยกันที่มาตรวัดดังนี้
2.1 Photosynthetic Photon Flux (PPF)
วัดจำนวนทั้งหมดของ PAR
ที่โคมปล่อยออกมาใน 1 วินาที
มีหน่วยเป็น Micromoles per second (μmol/s)
2.2 Photosynthetic Photon Flux Density (PPFD)
วัดจำนวนทั้งหมดของ PAR
ที่โคมปล่อยออกมาตกกระทบถึงพื้นผิวที่กำหนด
(กรณีนี้คือใบของพืช)ใน 1 วินาที
มีหน่วยเป็น Micromoles per square meter per second (μmol/m2/s)
สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
คือผู้ผลิตมักอ้างถึงความสว่าง PPFD เฉพาะตรงกลางของพื้นที่เท่านั้น
ไม่ได้พูดถึง PPFD รอบพื้นที่ทั้งหมด
2.3 Photon Efficacy (PE) กล่าวถึงประสิทธิภาพของโคมไฟ
ในการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นแสง PAR
ทั้งนี้โดยปรกติ ผู้ผลิตโคมมักระบุสเปคมาเป็น Watt หรือ Watt/sq.ft
ซึ่งจริงๆแล้วไม่สามารถบอกอะไรได้เลย
เนื่องจากเป็นการวัดกำลังการกินไฟเท่านั้น
แต่ไม่ได้บ่งบอกว่า กินไฟไปเท่านี้วัตต์จะให้ PAR ออกมาเป็นปริมาณเท่าไหร่
หากต้องการทราบประสิทธิภาพที่แท้จริงของโคม
ต้องดูที่ PPF (μmol/s)/Watt (J/s) โดยมีหน่วยวัดคือ µmol/J
โดยที่โคมที่มีค่า PE ยิ่งมาก ยิ่งบ่งบอกว่า ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง
ในการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นแสง PAR
3. การกินไฟ/แหล่งจ่ายไฟเนื่องจากการปลูกที่ใช้แสงจากไฟฟ้าต้องเปิดนานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน
การกินไฟ ความคงทน และความเสถียรของอุปกรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ปัจจัยหลักจึงขึ้นอยู่กับตัวชิปและไดรเวอร์ที่จ่ายพลังงาน
โดยจากข้อก่อนหน้านี้ตัวชิปเองต้องมี PPF และ PE ที่ดี
และแหล่งจ่ายไฟต้องมีประสิทธิภาพ คงทน และให้ความเสถียร
4. อายุการใช้งาน/ ความเสื่อมชิป LED คุณภาพต่ำจะมีความเสื่อมที่รวดเร็ว
ค่าสีเปลี่ยน และใช้งานได้ไม่นาน
ต้องบอกว่าการเปิดไฟ 12 ชั่วโมงต่อวัน ทุกวัน ไม่มีวันหยุดนั้น
ตัวชิปและไดรเวอร์ต้องแข็งแรง อึด ถึก ทน อย่างมาก
ซึ่งราคาชิปนี่แหละที่เป็นจุดสำคัญของราคาโคมไฟที่ใช้
เนื่องจากราคาตัวชิปเองมีราคาตั้งแต่หลักสตางค์ไปจนถึงหลักร้อยบาท
โดยชิปที่ได้คุณภาพที่ใช้กันเป็นมาตรฐาน
จะใช้ชิปของ CREE, Osram, Epistar, Lumileds, Samsung เป็นต้น
ถ้านอกเหนือจากนี้ส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาตรฐานที่ยอมรับกัน

5. ความร้อน – ชิปที่ดีความร้อนต่ำกว่า
ซึ่งความร้อนของชิปและดวงโคมนั้นทำให้เกิดปัญหาได้ดังนี้
5.1 อันว่าความร้อนสูงทำให้อายุการใช้งานของตัวชิปสั้นลงอย่างมาก
และทำให้สีเพี้ยนได้สูง เช่น จากแดงกลายเป็นเหลืองส้ม เป็นต้น
5.2 ไฟปลูกที่มีความร้อนสูงจะไปเพิ่มโหลดการทำงานให้แก่ระบบทำความเย็นทั้งหลาย
ทำให้โดยภาพรวมกินไฟมากขึ้นและทำให้ระบบปรับอากาศต้องบำรุงรักษาบ่อยและอายุสั้น
5.3 หากไฟปลูกต้องอยู่ใกล้พืชหรือต้นไม้ ความร้อนที่สูงจะทำให้ยอดของพืชเหี่ยวเฉา
ไม่เป็นผลดีแก่ผลผลิต หรือเพื่อเลี่ยงความร้อนก็จะทำให้ต้องแขวนไฟสูงขึ้น
ทำให้ค่า PPFD ต่ำลง ใช้งานไฟปลูกได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ข้อนี้สำคัญมาก
6. โครงสร้างของตัวโคม ช่วยในการกระจายแสง –
ยิ่งคลุมพื้นที่มากยิ่งดี
ตัวโคมเองต้องเอื้อต่อประสิทธิภาพในการให้แสง
และกระจายแสงให้ครอบคลุมพื้นที่การปลูก
แน่นอนว่า โครงสร้างโคมที่เล็กกว่าย่อมต้องราคาถูกกว่า
หากมองที่การกินไฟเท่ากัน อาทิ 300 W
แต่ถ้าดูที่ PPFD หรือปริมาณ PAR ตกถึงพืชที่พืชได้รับ
โคมที่เล็กกว่าต้องวางสูงกว่าเพื่อให้แสงกระจายครอบคลุมพื้นที่การปลูกทั้งหมด
PPFD จึงต่ำกว่ามาก
เมื่อเทียบกับไฟที่มีขนาดโคมใหญ่ใกล้เคียงเพื้นที่ปลูกซึ่งมีราคาแพงกว่า
และสามารถกดไฟลงต่ำได้เกือบถึงยอดของพืชนั้นๆ
ซึ่งพืชที่ปลูกในทุกตำแหน่งของแปลงปลูกจะได้รับแสงที่เท่ากันทุกจุด
และ การกดไฟได้ต่ำยังสามารถลดความสูงในการปลูกพืชนั้นๆได้ต่อชั้น
ทำให้อาจที่จะปลูกพืชได้ถึงสองชั้นในห้องขนาดสูงเท่ากัน
เพิ่มผลผลิตเป็น 2 เท่าในทันที

สรุปความแตกต่างระหว่างของถูกกับแพง
1. ชิปที่ราคาแพง สามารถให้ค่าสีได้ตั้งแต่อัลตร้าไวโอเลต จนถึงอินฟราเรด
โดยชิปที่นิยมใช้ในโคมมาตรฐานมักจะเป็นยี่ห้อ CREE, Osram, Epistar, Lumileds หรือ Samsung
ซึ่งถ้าเป็นชิปยี่ห้ออื่นทั่วไปตามท้องตลาดคงบอกได้เพียงว่าประสิทธิภาพและคุณภาพไม่สามารถนำมาใช้งานได้
2. ชิปที่นำมาใช้มีการเทียบค่าก่อนนำมาประกอบเป็นโคม ว่าได้ค่าสีตามที่ระบุหรือไม่
3. ความเสื่อม หากคุณภาพของสีที่นำมาใช้กับไดโอดไม่ดีพอ
เมื่อใช้ไประยะสั้นค่าสีจะเปลี่ยนแปลง ทำให้คลาดเคลื่อน
4. ความสว่างและความเข้มข้นของแสง
– การเลือกไฟที่ถูกต้องต้องดูจาก 3 ค่า คือ PPF, PPFD, PE,
หากผู้จำหน่ายใดให้ข้อมูลแม้กระทั่งหน่วยยังผิดพลาด
ก็ควรพิจารณาว่าผู้ผลิตนั้นๆไม่ได้เข้าใจการผลิตไฟปลูกที่ดีได้เลย
5. ชิปที่ได้มาตรฐาน จะได้ค่า PPF, PPFD และ PE ที่ค่อนข้างสูงทำให้ประหยัดไฟและสร้างผลผลิตได้ดีกว่ามาก
6. แหล่งจ่ายไฟมีความคงทน ใช้งานได้นาน มีความเสถียรสูง
เนื่องจากต้องเปิดต่อเนื่องห้ามดับระหว่างการปลูก
7. โครงสร้างของดวงโคมที่ใหญ่จะให้ PPFD ได้มากกว่า
และกระจายแสงได้เสมอกันทั้งแปลงปลูกที่ขนาดวัตต์เท่ากัน
ในขณะที่โคมเล็กราคาถูกกว่า แต่สูญเสีย PPFD ไป
เนื่องจากจะต้องยกสูงเพื่อให้แสงกระจายครอบคลุมพื้นที่การปลูกได้ทั้งหมด