การปลูกพืชในร่มนั้น ไฟปลูกต้นไม้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ถือได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่งในบรรดาอุปกรณ์ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะปลูกดินหรือไฮโดร การเลือกไฟปลูกจึงเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้เกิดผลผลิต (Yield) มากที่สุด หากไฟปลูกไม่ถึงจริง สิ่งที่ได้ก็ไม่ต่างจากขยะ เสียแรงเสียเวลาเปล่า
หลายคนคิดว่าไฟปลูกนั้นจะใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น ทว่า จริงๆแล้วสามารถใช้ได้ในกรณีนับไม่ถ้วนเลยในการทำเกษตร
· กรณีปลูกพืชในร่มตั้งแต่ต้นจนจบในระบบปิด
· การเพาะเมล็ดและต้นอ่อนนอกฤดู
· การให้แสงนอกชั่วโมงแสงอาทิตย์เมื่อเพาะปลูกนอกฤดูกาล
· ยืดเวลาการให้แสงเพื่อเพิ่มผลผลิต
· การเพาะปลูกเพื่อใช้ผลผลิตขณะที่ยังเป็นต้นอ่อน เช่น ไมโครกรีน เบบี้กรีน
· เน้นการให้สเปคตรัมแสงแบบจำเพาะเจาะจงเพื่อให้เกิดผลพิเศษบางอย่างกับพืชพิเศษบางชนิด
จะเห็นได้ว่ามีหลายเหตุผลที่ใช้ไฟปลูกพืช ฉะนั้นการเลือกไฟปลูกจึงมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง
ทำไมแสงถึงสำคัญ?
พืชเติบโตด้วยการสังเคราะห์แสงเป็นหลัก เรียกได้ว่าเป็ฯ 70-80% ของการเจริญเติบโตเลยก็ว่าได้ ซึ่งปัจจัยในการสังเคราะห์แสงนั้นเริ่มต้นด้วย เสปคตรัม(สีของแสง) เป็นหลักซึ่งพืชจะกินสีแสงทั้งที่ตามองเห็นและตามองไม่เห็น คือคลื่นแสงหลักๆช่วงความยาวระหว่าง 400-700 นาโนเมตร หรือเรียกว่า Photosynthetically Active Radiation (PAR)
1. คลื่นแสง (Spectrum) สีหลักที่พืชใช้งานจะเป็นแสง 2 ช่วง ที่จะฮิตคลอโรฟีลด์เอและบีเพื่อการเจริญเติบโต
โดยแสงช่วง 400-490 นาโนเมตร คือกลุ่มฟ้า/น้ำเงิน หลักๆจะใช้ประโยชน์ช่วง vegetative
ส่วนแสงช่วง 580-700 นาโนเมตร คือกลุ่ม ส้ม/แดง จะใช้ในช่วงออกดอกออกผล
คงสงสัยแล้วสะนะว่า อ้าว แล้วช่วง 490-580 nm หล่ะไปไหน? เคยสงสัยไมว่าทำไมต้นไม้ถึงมีสีเขียว? ก็เพราะต้นไม้มีสีเขียวจากคลอโรพลาสซึ่งดูกลุ่มสีน้ำเงินกับแดง แล้วสะท้อนสีเขียวตาเราถึงมองเห็นต้นไม้เป็นสีเขียวซึ่งเป็นช่วงแสงระหว่าง 510-570 nm ยังไงหล่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่ากลุ่มนี้ไม่สำคัญนะ มันมีผลต่อส่วนอื่นที่ไม่ใช่สีเขียวด้วยเช่นกิ่งก้าน
2. ความแรงของแสง (Intensity) เมื่อเรารู้จักกับ PAR (คลื่นแสงที่พืชใช้สังเคราะห์) แล้ว ซึ่งในแต่ละช่วงของการเจริญเติบโตเช่นช่วง Vegetative, Flower, Fruiting จะมีการใช้ความเข้มแสงที่ต้องการไม่เท่ากัน นอกจากสีของแสงที่ถูกต้องแล้ว ความเข้มของจะต้องเพียงพอต่อการเติบโตในแต่ละช่วงวัยด้วย ถ้าแสงไม่พอ พืชก็จะยืดซึ่งจะทำให้พืชอ่อนแอและสูงเกินจำเป็น โดยแสงอาทิตย์ช่วงเที่ยงจะอยู่ที่ 10000-25000 lux
5. ระยะเวลาการได้รับแสง (Photoperiod)
จำนวนชั่วโมงการได้รับแสงต่อ 24 ชั่วโมง การปลูกในร่มสามารถให้แสงได้มากสุดถึง 24 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว
การเปลี่ยนชั่วโมงการให้แสงเป็นเหมือนตัวจุดชนวนบอกพืชว่า เฮ้ ถึงฤดูแล้วน้า หยุดทำใบและออกดอกได้แล้ว
ชนิดของไฟปลูก
ในเมื่อเรารู้จักเรื่องแสงกันแล้ว ตอนนี้มาทำความรู้จักกันเรื่องกับชนิดของไฟกันนะจ๊ะ เนื่องจากหลายคนเข้าใจผิดหรือสับสนกันมากจากชื่อที่พวกผู้ผลิตหรือผู้ขายเรียกกัน
HID เป็นกลุ่มที่นักปลูกทั่วโลกนิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากให้แสงได้สว่างมาก และราคาไม่แพง ความร้อนสูง
a. Metal Halide (MH)
MH จะเป็นไฟที่นิยมใช้ช่วง Vegetative เนื่องจากตัวหลอดให้แสงเน้นสีน้ำเงินมากกว่าแดง ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตช่วงนี้พอดี
b. High Pressure Sodium (HPS)
HPS จะเป็นหลอดที่ใช้ตลอดช่วงระยะเวลาการปลูก แต่จะเห็นผลมากที่สุดในช่วงการทำดอกผลช่วงสุดท้าย เนื่องจากตัวหลอด่อนข้างหนักไปทางโทนสีแดงส้มเป็นหลัก
c. Ceramic Metal Halide (CMH)
ตอนนี้เป็นตัวที่บูมและเริ่มใช้กันเป็นกลุ่มใหญ่มาก ซึ่งการทำงานจะค่อนข้างจะแตกต่างกับไฟเดิมๆพอสมควร เนื่องจากสามารถให้แสงได้เหมาะสมบาลานซ์กันในทุกเปคตรัมสี ไม่ว่าจะน้ำเงิน ส้ม แดง ทำให้เป็นช้อยส์ที่ดีสำหรับนักปลูก ซึ่งจะมีขนาดมาตรฐานที่ 315 W และ 630W โดยขนาด 315W จะเทียบได้กับไฟ HPS หรือ MH ขนาด 400 W นอกจากจะประหยัดพลังงานมากกว่าแล้ว ยังให้แสงที่บาลานซ์พอดีกับการปลูกมากกว่าอีกด้วย
d. Dual Spectrum หรือ Hybrid (MH+HPS)
Dual Spectrum จะเป็นหลอดที่มีสองระบบอยู่ภายในหลอดเดียว คือ MH กับ HPS ซึ่งเป็นการผสมแสงระหว่าง Full Spectrum หนักน้ำเงิน กับ ฝั่งที่หนักแดงไว้ด้วยกัน
2. Fluorescent
ส่วนใหญ่เราจะเห็นในรูปแบบ T8 กับ T5 ซึ่งเหมาะสมกับการปลูกในระยะเริ่มแรกคือ seeds, rooting cuttings, และ early to mid-stage vegetative โดยประเด็นที่ทำให้นิยมใช้คือ ตัวหลอดมีความร้อนต่ำ ประหยัดไฟ ขนาดเหมาะกับการทำในร่ม โดยในอดีตที่นิยม T5 กันมากกว่าเนื่องจาก ประสิทธิภาพในการให้แสงที่สูงกว่าขนาดอื่นๆประมาณ 8% โดยจะให้แสงอยู่ที่ประมาณ 100 lumens ต่อวัตต์ แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ ข้างในหลอดจะเปลี่ยนเป็นไฟ LED แล้วฉะนั้นจะกลับมาเป็น T8 ที่ได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากเป็นขนาดมาตรฐานที่หาได้ทั่วไป ข้อดีคือกินไฟ น้อย ความร้อนต่ำ อายุการใช้งานยาว แต่ความสว่างจะอยู่ที่ประมาณ 40 lumens ต่อวัตต์
โดยทั่วไปแล้วจะใช้อุณหภูมิแสงอยู่ที่ 6500K สำหรับการเลี้ยงช่วง Vegetative และช่วงออกดอกคือ 3000K
เป็นหลอด Fluorescent แบบ High Output (HO) และ Very High Output (VHO) ซึ่งให้แสงที่แรงกว่าแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนที่สูงขึ้น และต้องห่างจากยอดไม้มากขึ้นเพื่อกันยอดไหม้
คงเป็นรูปแบบที่คนไทยได้ยินมามากที่สุดนะ ไฟHLG ไม่มีในโลกนะจำกันไว้ด้วย HLG มันเป็นรุ่นหม้อแปลงไม่ใช่รูปแบบของไฟนะ
1. โรงงานผู้ผลิตเคลมเว่อร์เกินถึงประสิทธิภาพและความประหยัด
2. ใหม่สำหรับพวกนักปลูก Old-School ซึ่งยากจะยอมรับได้ แม้ถึงปัจจุบันก็ตาม ก็ยังเป็นที่สงสัยกันมาก
แต่ถ้าสำหรับเมืองไทย ต้องบอกเลยว่า LED มีความน่าใช้มากกว่ามากด้วยสาเหตุดังนี้
1. ใช้พลังงานน้อยกว่า และร้อนน้อยกว่า เราเป็นเมืองร้อน หากใช้ไฟจำพวก HID เต็นท์ระอุแน่นอน เพราะอุณภูมิไฟพวก HID จะอยู่ที่ 70 กว่าองศาเซลเซียสเลย ถ้าไม่อยากมีปัญหาเรื่องความร้อน แน่นอนว่า LED เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
2. ในเมื่อ LED ประกอบด้วยหลอดจำนวนมากจึงทำให้สามารถปรับแต่งค่าสเปคตรัมของแสงได้ตามที่ต้องการสามารถ
3. Advance LED หรือ COB (Chip on Board) นั้นเป็นการหลอดที่ปรับแต่งแสงหายสีให้อยู่ในหลอดเดียวได้และมีขนาดกระทัดรัด เนื่องจากข้างในหลอด COB จะมีหลอดย่อยจำนวนมากอยู่ภายใน ข้อเสียคือจะมีความร้อนที่มากกว่า LED แบบ SMD
5. Plasma
ไฟประเภทใหม่ล่าสุดในตลาดในเชิงอุตสาหกรรม ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถให้แสงแบบ Full Spectrum ได้มีอายุการใช้งานที่ยาวกว่า HID และยังประหยัดพลังงานมากกว่า เทียบได้กับไฟแบบ CMD แต่ต้องบอกไว้เลยว่าราคายังแรงมากอยู่เพราะยังมีการผลิตไม่เยอะมาก
คำนวณค่าไฟ
(ค่าวัตต์ของไฟ x ชั่วโมงให้แสงต่อวัน / 1000) x ค่าไฟต่อหน่วย x 30 วันต่อเดือน
อายุการใช้งาน
อุปกรณ์เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
บาลลาสท์
รีเฟล็กเตอร์ หรือ ฮู้ดส์
เชือกรอกแขวนไฟ
แว่นตา